ส่งต่อรักแบบแม่ EP.03 คุณแม่โบว์ (แวนดา สหวงษ์)

03 กันยายน 2020 70 ครั้ง

ส่งต่อรักแบบแม่ EP.03 คุณแม่โบว์ (แวนดา สหวงษ์)

“แม่..ผมยังเด็กอยู่ แต่อยากให้แม่รู้ไว้ว่า ผมดูแลแม่ได้นะ” หนึ่งประโยคสั้น ๆ แต่มากไปด้วยพลังแห่งความรัก ความผูกพันระหว่างแม่โบว์ พี่ออโต้ และน้องมะลิ ติดตามเรื่องราวความรักระหว่างแม่และลูก จากมุมมองและการใช้ชีวิตของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ผ่านอุปสรรคในชีวิตมาอย่างเข้มแข็ง ของ "แม่โบว์ แวนดา สหวงษ์" กันต่อได้ใน ส่งต่อรักแบบแม่ EP.03 คุณแม่โบว์ (แวนดา สหวงษ์)

 

Host: ความเป็นแม่ทั้งสองโมเมนต์ ไม่ใช่ฉันเป็นแค่โบว์ แวนดา แต่ฉันก็เป็นแม่คนหนึ่งด้วยแหละ เจออะไรมาเยอะตั้งแต่ลูกคนแรก แล้วพอมีคนที่สองก็มาเจออีก

 

คุณโบว์: สำหรับ “ออโต้” โบว์ก็มีเขาในช่วงที่อายุยังไม่เยอะมากนะคะ พอเราคลอดมาเป็นคุณแม่วัยรุ่น ในช่วงเวลานั้นซึ่งวุฒิภาวะอาจยังไม่พร้อมสักเท่าไหร่ แต่โบว์ก็ดูแลลูกเองตลอด ก็มีปัญหาช่วงหนึ่ง ออโต้ก็ไปอยู่กับคุณพ่อของเขาแล้วเราก็ออกมาทำงาน เพราะบ้านโบว์อยู่ต่างจังหวัด พอเราออกมาก็ไม่มีใครมาช่วยดูแลลูก เขาก็เลยไปอยู่กับพ่อช่วงหนึ่ง พอถึงเวลาที่เราพร้อมแล้วก็รับเขามาอยู่กับเรา 

 

ช่วงนั้นก็ปรับตัวยากนึดนึง จนเราร้องไห้ว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ แต่ก็ใช้ความรักในครอบครัว คุณตาคุณยายมาช่วยดูแลด้วย ทุกคนใจเย็นให้เวลากับออโต้ในการปรับตัว ถึงจะนานเป็นปี แต่ ณ วันนี้เขาก็แฮปปี้กับเรา เราก็แฮปปี้กับเขา ซึ่งโชคดีที่เขามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เข้าใจเรา 

 

โบว์ก็เลี้ยงออโต้อย่างอิสระเช่นเดียวกัน อย่างตอนนี้เขาอยู่หัวหิน โบว์ก็ถามว่า หนูรู้สึกอะไรไหมที่แม่อยู่กับมะลิแต่หนูอยู่หัวหิน หนูอยากมาอยู่กับแม่ไหม พร้อมเมื่อไหร่เก็บเสื้อผ้ามาได้เลยนะลูก 

 

เขาก็บอกว่า “ไม่ครับแม่ ผมอยู่หัวหินมีความสุขดี อีกอย่างผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้” เขาเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วสองเดือน เขาไม่ชอบ เขาอยู่แต่บ้าน แม่บอกออกไปเที่ยวกัน ไปเที่ยวบ้างเถอะ เพราะเขาอยู่หัวหิน เขาก็ชินอยู่กับบ้านค่ะ การเดินทางนาน ๆ ไปห้างอะไรแบบนี้ เขาไม่ชินไงคะ เขาบอก “แม่ โต้ไม่ไหว ขอไปอยู่กับตากับยายดีกว่า โต้จะดูแลตากับยายให้ด้วย” ที่สำคัญเขาเป็นนักร้องนักดนตรีของโรงเรียน มีวงที่โน่นด้วย มีกิจกรรมที่เขารักทำด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเขาอยู่โน่น เขามีความสุข

 

 

Host: เขาอยู่ไกลเป็นห่วงยังไงบ้างคะ

 

คุณโบว์: คุย VDO Call ทุกวัน เราเลี้ยงเขาเหมือนเพื่อนมากกว่า เราบอกว่าถ้าหนูรู้สึกอะไรบอกนะลูก อย่าเก็บไว้ มีแฟนก็ให้บอกแม่นะ ซึ่งเขาเข้าใจค่ะ แล้วเราก็เริ่มจับอารมณ์ลูกได้ว่าแบบนี้นะเขารู้สึกน้อยใจ เราก็ถามน้อยใจอะไร ไหนบอกแม่สิ ก็จะคุยกันตรง ๆ 

 

ด้วยความที่เขาโตอายุ 15 แล้ว เขาก็รู้สึกว่าต้องดูแลมะลิแล้ว มีครั้งนึงเขาไลน์มาบอกว่า “แม่...ผมยังเด็กอยู่ แต่อยากให้แม่รู้ไว้ว่า ผมดูแลแม่ได้นะ ถึงพ่อปอจะไม่อยู่แล้ว ในความคิดแม่ ผมเป็นเด็ก แต่ผมก็ดูแลแม่ได้” เราก็รู้สึกดีใจค่ะ 

 

ครั้งนึงออโต้เขาเคยถามว่า “ทำไมแม่ไม่หาคนมาดูแลแม่อีก” เราก็บอกว่าอยู่กับออโต้อยู่กับมะลิก็โอเคแล้ว วันนี้แม่ยังทำหน้าที่ดูแลหนูสองคนอยู่นะ แต่พอโตแล้วต้องมาดูแลและปกป้องแม่นะ เพราะ ณ วันนี้เราขาดคนที่มาปกป้องเรา เรานึกถึงความรู้สึกลูกเป็นหลักก่อน เราเสียสละได้ในเรื่องส่วนตัว ไม่อยากให้ใครมาแทนที่พ่อของเขา ทั้ง ๆ ที่ช่วงนึงเราอ่อนแอ ผู้หญิงทุกคนแม้จะทำตัวแข็งแกร่งแค่ไหน เราก็มีช่วงภาวะที่อ่อนแอ อยากมีคนมาปกป้อง แต่เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เราก็ดูแลปกป้องตัวเองทำเท่าที่เราทำได้

 

 

Host: เหนื่อยไหมคะ

 

คุณโบว์: เหนื่อยค่ะ แต่พอเห็นมะลิกับออโต้ก็หายเหนื่อย

 

 

Host: การที่เป็นคนอยู่กับสื่อ เราแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง บางทีเราอาจจะไม่ได้อยากคิดแบบนี้อยากทำแบบนี้ แต่มันมีกระแสพาไป จนไม่ว่าอะไรก็เป็นกระแส

 

คุณโบว์: ใช่ค่ะ มันมีกระแสเยอะแยะ บางคนก็ว่าไม่ move on สักที เอาเรื่องสามีมาพูดอยู่ได้ กลัวตัวเองตกกระแสหรือ กลัวคนอื่นจำตัวเองไม่ได้หรือ จะมาหากินอะไรอีกหรือ เกาะลูกกินบ้าง เกาะชื่อเสียงสามีกิน โดนเยอะมากค่ะ เราก็มานั่งทบทวนว่างานแต่ละอย่าง เราก็ทำด้วยตัวเองนะ 

 

แต่ความโชคดีก็คือ โบว์บอกกับมะลิเสมอว่า “วันนี้หนูคือเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้พิเศษกว่าใครนะลูก การที่วันนี้มีพี่จ๋า มีคนรู้จักหนู ไม่ใช่เพราะความสามารถของมะลินะ แต่หนูมาด้วยคุณพ่อหนู เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เขามีอชีพเป็นนักแสดง สร้างความบันเทิงให้กับคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม แล้วความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น เขาส่งมาให้พ่อ ณ วันที่พ่อไม่อยู่ ความรู้สึกนั้นก็ยังส่งผ่านมาที่หนูกับแม่ แม่กับหนูไม่ได้มาด้วยตัวเองกับการที่คนรู้จัก เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้หนูอยากให้ทุกคนจำหนูได้ หนูต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ทุกคนเอ็นดูหนู ไม่ก้าวร้าว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ทนงตัว แต่ถ้าอยากเป็นซุปเปอร์สตาร์เหมือนอย่างที่คนอื่นบอกหนู หนูก็ต้องทำด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ ตอนนี้หนูคือน้องมะลิ ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์เพราะหนูยังไม่มีผลงานให้คนอื่นเขาเห็น หนูยังเป็นแค่คนธรรมดา” 

 

หลาย ๆ ครั้งเวลาไปเรียน โบว์กลัวว่าเขาจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น ๆ อย่างเวลาไปเรียนเต้น เราก็จะบอกครูว่า ถ้าไม่ใช่อะไรที่พิเศษจริง ขอให้มะลิไปเรียนเป็นกลุ่มได้ไหม โบว์ไม่อยากให้เรียนแบบไพรเวท เราอยากให้เขาเรียนรู้เติบโตร่วมกับคนอื่น ทำกิจกรรมให้มีส่วนร่วม ไม่ใช่โดดเด่นกว่าคนอื่น แต่เป็นส่วนร่วมที่ทำให้โชว์นั้นสำเร็จ อยากให้เขารู้สึกว่า ไม่ได้มีความสุขแค่เฉพาะเป็นเซนเตอร์อย่างเดียว แต่อยากให้เขารู้สึกว่า วันหนึ่งได้อยู่ด้านซ้าย อยู่หลังสุด เขามีความภูมิใจกับตำแหน่งที่เขาอยู่ไม่ว่าจะตรงไหนก็ตาม

 

เราก็พยายามทำทุกอย่าง แต่ก็เข้าใจว่ามันค่อนข้างยาก ในวัยสองขวบที่ต้องเจอนักข่าวเต็ม และเรียนรู้ว่าเวลาไปไหนก็มีแต่คนเรียก มะลิ มะลิ อันนี้เป็นสิ่งที่โบว์กลัวที่สุดว่าเขาจะโตมาแบบหลงตัวเอง

 

 

Host: โบว์มีวิธีการยังไงอีกบ้างที่คอยเตือนหรือแนะนำลูก

 

คุณโบว์: โบว์ก็จะบอกว่าวันนี้น้องดีนะ เป็นเด็กมีสัมมาคารวะ เจอใครก็ยกมือไหว้ สวัสดีค่ะ ขอบคุณ ขอโทษค่ะ เขาพูดโดยไม่ต้องอายที่จะพูด อย่างเช่น ทำอะไรผิดก็บอกหนูขอโทษค่ะ บอกว่าท่องไว้เลยลูกให้เป็นนิสัย เมื่อไหร่ที่น้องก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ไม่มีสัมมาคารวะ ไหว้ใครไม่เป็น ใครพูดด้วยไม่สนใจฟัง ไม่มองหน้าคนอื่น วันนั้นจะไม่มีใครเรียกหนูว่าน้องมะลิอีกเลย 

 

เขาก็ถามว่า “ทำไมคะ” นั่นก็แสดงว่าไม่มีใครรักหนูแล้วไงคะ ทุกวันนี้ทุกคนเอ็นดูที่น้องมะลิเป็นอย่างนี้ ก็จงรักษามันไว้ให้ดีเหมือนที่พ่อหนูเคยทำไว้ ถ้ารักพ่อต้องเป็นเด็กดี เพราะเมื่อไหร่ที่น้องก้าวร้าวก็จะไม่มีใครคิดถึงพ่อด้วยเหมือนกัน

 

 

Host: พลังงานความเป็นแม่ทำให้โบว์ฮึดสู้ขึ้นมาได้แค่ไหน

 

คุณโบว์: ถ้าตอนที่อยู่โรงพยาบาลโบว์ไม่สนใจอะไรเลยนะคะ

 

 

Host: แล้วหลังจากที่ปอเสียละ

 

คุณโบว์: มีช่วงหลังจากนั้นก็มีคนทั้งที่รักเราและอคติกับเรา มองว่าเราเอาลูกเอาสามีมาหากิน ตอนแรกก็รับไม่ได้ค่ะ เสียใจ ข้อความที่เข้ามาด่าหยาบคาย เราก็มองว่าไม่ต้องเสียใจสิ ร้องไห้ทำไม เขาเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วเราพยายามคิดว่าสิ่งที่เขาด่าเรา เรามองก่อนว่าเราทำจริงไหม ถ้าเราไม่ได้ทำก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน 

 

อย่างหนึ่งที่คิดไว้เสมอว่า สิ่งที่เขาด่าเรามาหรือแอนตี้เรา มันไม่ได้สะท้อนถึงว่าเราเป็นแบบนั้น แต่มันกำลังสะท้อนถึงตัวคุณต่างหากที่เขียนมาหยาบ ๆ คาย ๆ มันสะท้อนว่าคุณเติบโตมายังไง ใช้ชีวิตแบบไหน มารยาททางสังคมต้องมี ซึ่งเราเรียนรู้มารยาทสังคมมาแบบนี้ แต่ถ้าเขาเป็นแบบนั้นก็ต้องปล่อยเขาไป ก็ไม่ได้ให้ค่าอะไรกับเขา เอาเวลาตรงนั้นมาอยู่กับคนที่เรารักดีกว่า

 

ก็เรียนรู้ที่จะเข้มแข็งขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าแรก ๆ ก็มีน้ำตาค่ะ จนหลัง ๆ เราจะไปสนใจทำไม ซึ่งคนเหล่านั้นก็มีน้อยมาก แต่ถ้าเป็นคำติชมที่แนะแนวเรา เช่น แม่โบว์ขา...ควรจะอย่างนี้  แม่โบว์ไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะคะ อะไรแบบนี้เราก็ต้องมาคิดแล้วว่า ในขณะที่เราทำ เราอาจจะไม่ได้รู้หรือคิดน้อยอะไรหรือเปล่า พอมีข้อความมาเตือนสติเรา เราก็มาคิดว่า ใช่หรือเปล่า ทำแบบนั้นหรือเปล่า เราก็เอามาปรับใช้กับชีวิตเราแค่นั้นเอง

 

พอมันเป็นเหตุการณ์แบบนี้โบว์เชื่อว่า ณ เวลานั้นมันลำบากหมดค่ะ ไม่ว่าจะลำบากกายหรือลำบากใจ มันเหมือนเซทตัวเองใหม่หมดเลยค่ะ จากแม่บ้านที่เคยทำงานออฟฟิสมาแล้วก็เลิกทำเพื่อมาดูแลพี่ปอกับลูกเต็มที่ แล้วอยู่ ๆ ก็ฮ่ะ!! เปลี่ยนไป จะทำยังไงโน่นนี่นั่น พอเราตั้งสติได้ก็ต้องมาคิดว่า อะไรที่เราไม่อยากทำ แต่ถ้าทำแล้วมันมีรายได้ให้กับตัวเองก็ต้องทำนะ ลองทำสิ 

 

อะไรที่เรากลัวเราก็ต้องลองทำก่อนสิ เพราะลูก ลูกอย่างเดียว จะมัวมานั่งไม่เอา ไม่ทำ ไม่ได้ แต่ก่อนตัวคนเดียวปฏิเสธได้ แต่วันนี้ถ้าไม่ทำแล้วจะเอาอะไรให้ลูกกินละ จะเอาเงินที่ไหนไปส่งเสียดูแลลูก ก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิต อะไรที่เรากลัว ไม่อยากทำแต่รู้ว่าทำแล้วมันจะได้อะไรกับชีวิต สุดท้ายแล้วก็ต้องทำ 

 

แล้วก็เรียนรู้ที่จะทำให้มีความสุขให้ได้ อย่างเช่น  “น้ำพริกแม่โบว์” หลายคนถามว่าตกอับหรือคะมาขายน้ำพริก เราก็งงว่าทำไมตกอับต้องมาขายน้ำพริกด้วย คนเขาทำขาย มีรายได้มากมาย แต่ที่เรามาทำน้ำพริกเพราะอยู่ในช่วงโควิด เพื่อนบ้านหลาย ๆ คนก็ประสบปัญหาร้านอาหารก็เปิดไม่ได้ เราก็มีช่องทางไปคุยกับหลาย ๆ บ้านว่า โบว์ช่วยไหม เรามาช่วยกันทุกคนมีอาชีพมีวิชาในมืออยู่แล้ว ไหนใครจะทำอะไรบ้างก็มารวมตัวกัน เราก็ไปช่วยเขาค่ะ

 

 

Host: ขอให้โบว์เล่าให้ฟังหน่อยความสนิทกันของพี่น้องเป็นยังไงบ้าง

 

คุณโบว์: ช่วงนี้มีแอบอิจฉากันนิดนึง คนพี่ไม่เป็นไรหรอก แต่คนน้องนี่สิ เวลาไปดุเขา(มะลิ)ก็จะบอกว่า “แม่ไม่เห็นดุพี่ออโต้เลย ดุแต่หนูอยู่ได้” เขาจะชอบบอกว่า อย่าไปรักใครมากกว่านะ เราก็ค่อย ๆ สอนค่ะว่าแม่ดุหมดแหละค่ะลูก แม่รักหนูกับพี่ออโต้เท่ากัน 

 

เราถามว่าหนูอยากให้แม่มีความสุขไหม ถ้าอยากให้แม่มีความสุข หนูสองคนต้องรักกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ถ้าจะมามัวบอกว่าแม่รักคนโน้นมากกว่า คนนี้มากกว่า ในขณะที่แม่รักลูกเท่ากัน แม่เสียใจนะ มะลิเขาเป็นคนที่เซนซิทีฟค่ะ เขาไม่อยากให้โบว์เสียใจ ไม่อยากให้เครียด ทุกข์ เพราะเขากลัวโบว์ตาย 

 

เขาถามว่าถ้าเครียด ทุกข์แล้วจะตายหรือเปล่าคะ อย่างไปเล่นเกมที่ต้องดำน้ำลงไป มะลิเขาจับโบว์แล้วบอกทีมงานว่า “หนูไม่ให้แม่ดำน้ำลงไปได้ไหมคะ หนูกลัวแม่ตาย” แล้วเขาก็ร้องไห้เลย เขาเป็นเด็กที่ร้องไห้ยาก แต่กับเรื่องแบบนี้เขาไวมาก เขาบอกว่า “พ่อตายไปแล้ว หนูไม่อยากให้แม่ตาย ถ้าแม่ตายหนูจะอยู่กับใคร” แต่ทุกวันนี้ก็รักกันค่ะ ช่วงปิดเทอมเขาก็จะอยู่ด้วยกัน บางทีวันหยุดก็จะลงไปหัวหินบ้าง พี่ออโต้จะขึ้นมาหาบ้าง เราก็พยายามทำให้เขาทั้งสองคนสนิทกันให้มากที่สุด ให้ดูแลซึ่งกันและกันได้

 

ที่อยู่ทุกวันนี้ได้ ทำตัวเองให้แข็งแรงและ move on ได้ก็เพราะสองชีวิตนี้แหละค่ะ และก็ห่วงตัวเองด้วยกลัวตัวเองตาย กลัวตัวเองป่วย เราก็รักตัวเองมากขึ้นด้วย เพราะถ้าวันนี้เราป่วยหรือเป็นอะไรไป ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา เราอยากอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เพื่อจะอยู่ในทุกช่วงวัยของเขา อยากเห็นเขาเจริญเติบโตค่ะ 

 

จากคนที่ไม่เคยรักตัวเอง เมื่อก่อนไม่ได้ดูแลสุขภาพหรอกค่ะ ไม่ได้ห่วงตายด้วยนะ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ แต่พอพี่ปอเสียไปแล้ว เหลือสองชีวิตที่เราต้องดูแล กลับกลายเป็นว่าเราหันมาดูแลตัวเองมากขึ้นในเรื่องสุขภาพ ออกกำลังกายมากขึ้น หาหมอบ้าง ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อเราอยากมีชีวิตให้อยู่กับเขานานที่สุดเท่าที่จะนานได้แค่นั้น

 

ณ วันนี้ ยอมรับเลยที่เอาตัวเองเดินมาได้อย่างเข้มแข็งเป็นเพราะ “มะลิ” กับ “ออโต้” จริง ๆ ค่ะ เพราะถ้าเรามานั่งฟูมฟาย หงอยเหงา แล้วสองชีวิตนี้เขาจะอยู่อย่างไร ถ้าเขาจะต้องมาเห็นสภาพแม่แบบนั้นเขาจะคิดว่าแม่ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมปกป้องดูแลเขาไม่ได้ ก็บอกตัวเองค่ะว่า เสียใจได้แต่ต้องให้สั้นที่สุด แล้วดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้เพื่อจะใช้ชีวิตต่อ แต่จริง ๆ แล้วหลายอย่างที่โบว์บอกไปค่ะ ถ้ายอมรับความจริงได้แล้ว เราจะดึงตัวเองขึ้นมาได้เร็วมาก ขาเราจะยืนได้ตรงและก้าวได้เร็วกว่า 

 

โบว์จะบอกลูกตลอดนะคะว่า “มะลิ ออโต้ แม่เนี่ยไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เก่งมากนะ แต่แม่จะพยายามเป็นผู้หญิงธรรมดาที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกได้ เท่าที่แม่จะทำได้” ก็อยากให้เขาภูมิใจว่าถึงแม้เราไม่ได้เก่งมาก แต่อยากให้เขารู้สึกว่ามีแม่ที่เก่งสำหรับเขาพอแล้ว อยากเป็นหลักที่มั่นคงให้กับเขาทั้งสองคน โบว์มองแบบนั้นมาตลอด ตั้งแต่เรื่องของพี่ปอค่ะว่า ถ้าพรุ่งนี้เราเป็นอะไร มะรืนนี้เราเป็นอะไร เขาจะอยู่ยังไง 

 

ก็พยายามเก็บเงินทองให้เขาส่วนหนึ่ง สั่งสอนเขาในทุก ๆ วันให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง อย่างโบว์กับมะลิบางทีโบว์เลี้ยงโดยไม่ให้เขาติดโบว์ตลอดนะคะ เหมือนให้เขาไปกับทุกคนได้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกคนได้ เผื่อวันนึงเราเป็นอะไรขึ้นมา เขาต้องอยู่ด้วยตัวของเขาได้ หลัก ๆ ของโบว์คือ “คุณต้องลำบากก่อนแล้วค่อยสบาย”

 

ณ วันนี้ เขาก็ไม่ได้มีอะไรลำบากในระดับนึง แล้วเราจะให้เขาเรียนรู้ยังไง ซึ่งในช่วงโควิดเราก็ชวนมะลิเล่าให้เขาฟังว่า “มีน้อง ๆ เพื่อน ๆ หนูในต่างจังหวัดที่เขาไม่มีกินเลยนะ งั้นเดือนนี้ถ้าแม่กับหนูมีงานเข้ามา แล้วเราได้เงินค่าตอบแทนระหว่างแม่กับหนูที่ทำงานคู่กัน เราเอาเงินทั้งหมดนั้นไปซื้อของ ข้าวสารอาหารแห้งกัน” 

 

เราก็ติดต่อไปหาครูที่โรงเรียนในจังหวัดสระบุรี ขอไปที่บ้านน้อง ๆ เลยได้ไหม เขาก็ยินดี แล้วเราก็เดินทางไป พามะลิไปด้วย ซึ่งมะลิก็ได้เห็นค่ะว่า เขาอยู่ในบ้านหลังคาสังกะสี รายล้อมไปด้วยขยะ เด็กอาศัยอยู่กันแปดชีวิต มีพัดลมไม่มีฝาครอบ เราบอกให้มะลิดูสิ เขาก็บอกว่า “แม่ เขาอยู่ได้ยังไง ไม่มีพัดลม ไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ บ้านสกปรกมาก รองเท้าก็ไม่มี” 

 

เห็นไหมลูกมีคนลำบากกว่าเราอีกตั้งเยอะ เราก็พูดไปเรื่อยค่ะว่า ถ้าหนูไม่อยากลำบากแบบนี้หนูต้องตั้งใจเรียนนะ เขาก็ได้เรียนรู้ถึงการแบ่งปัน เรามีแล้วก็แบ่งให้คนอื่น ๆ โบว์ก็บอกว่า “มะลิรู้ไหม พี่จ๋าที่เขาเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองในวันนั้น เขาอาจเป็นกำลังใจส่งให้แม่ก็ได้ในวันที่แม่เฝ้าพ่ออยู่หน้าห้อง CCU แล้วแม่ไม่เคยรู้จักเลยว่ากำลังใจนั้นมาจากไหน เนี่ยที่เราไปหาเขาอาจจะเป็นหนึ่งครอบครัวที่ดูเราก็ได้ ซึ่งเขาก็แย่อยู่แล้ว เขายังส่งพลังใจให้เรา” โบว์ก็คิดอย่างนี้ค่ะว่าอะไรที่เราช่วยได้ พอไปถึงก็จริง ๆ ค่ะเขาก็ดีใจ เรียกแม่โบว์ เราก็น้ำตาคลอ เราก็ดีใจที่วันนึงเราแข็งแรงแล้วได้มีกำลังใจดี ๆ ส่งกลับคืนให้เขา ได้เป็นพลังให้เขาต่อไป

 

 

Host: เราก็ต้องช่วยกันเนอะ โลกใบนี้จะอยู่คนเดียวไม่ได้

 

คุณโบว์: ใช่ค่ะ ณ วันนั้น เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครบ้าง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แย่มาก ๆ แต่เขามาดูข่าวเราในขณะที่เขาแย่อยู่แล้ว แต่เขายังมีพลังใจที่ดีมีพลังบวกส่งมาให้เราเป็นข้อความ เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งวิเศษที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว มันหาซื้อไม่ได้ แต่ว่าเรายังเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่ได้กำลังใจจากใครหลาย ๆ คนส่งมาให้

 

 

Host: ในฐานะที่เป็น โบว์ แวนดา เรายังมีสิ่งไหนที่อยากทำให้ตัวเองอีกบ้างไหมคะ

 

คุณโบว์: คงเป็นเรื่องอาชีพมากกว่า อย่างเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เราทำได้โอเค ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่พี่ปออยู่ก็อยากทำแบรนด์ของตัวเอง จนเขาเสียไปเราตั้งหลักได้ เราก็พยายามในสิ่งที่เขาเคยขำเรา เพราะตอนนั้นมันก็ค่อนข้างยาก เราไม่ได้มีสื่อโซเชียลอะไรเลย เราก็ไม่ใช่เน็ตไอดอล จนมีโอกาสดี ๆ ที่คนอื่นรู้จักเรามาจากพี่ปอ เราก็ลองสานฝันตัวเองสักครั้ง โบว์ก็รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จในแบบที่โบว์ต้องการที่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว 

 

 

Host: แบรนด์ชื่ออะไรนะคะ

 

คุณโบว์: “วีด้า” (VEEDAA) ค่ะ

 

เราก็รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวได้ แต่การอยู่คนเดียวที่โบว์กลัวอยู่อย่างเดียวคือ โบว์ไม่อยากให้ใครมาแย่งความรักไปจากมะลิกับออโต้ ในช่วงที่เขากำลังเติบโตตอนเป็นเด็ก เราสามารถเก็บเกี่ยวช่วงนี้กับเขาได้มากที่สุด ไม่ว่าจะหอม กอด หรือเล่นอะไรที่ไร้สาระกับเขา เมื่อไหร่ที่เขาโตแล้วเราไม่รู้ว่าจะเล่นแบบนี้กับเขาได้ไหม เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นช่วงที่เราเก็บเกี่ยวได้มากที่สุดในความน่ารักและความเป็นธรรมชาติของเขาที่มีกับเรา

 

 

Host: ในทางกลับกัน ณ วันที่เขาโตขึ้น วันที่เขามีคนอื่น มะลิไปมีแฟน แม่จะเป็นยังไง

 

คุณโบว์: เราก็ออกเที่ยวค่ะ (หัวเราะ) ก็คงบอกว่าหาใครที่เขารักแม่ด้วยแล้วกันนะ ไม่ได้กลัวมากค่ะ ก็ต้องวางแผนตัวเองไว้ล่วงหน้าก่อน เราก็รู้อยู่แล้วว่าวันนึงเขาก็ต้องโตไป มองย้อนไปในวันที่เราเป็นวัยรุ่นเราก็อยากอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวลูกเราก็คงเป็น เพราะเวลาโบว์เลี้ยงมะลิ เราก็จะมองย้อนไป อย่างเช่นตอนอายุเจ็ดขวบ เราอยากอยู่กับแม่ อยากให้แม่พาไปโน่นไปนี่ ซึ่งโบว์ก็เชื่อว่ามะลิน่าจะมีเหมือนกัน โบว์ก็จะเอาความรู้สึกที่มีตรงนั้นมาใส่ให้ลูกเรา เราไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากวันหนึ่งเห็นเขายิ้มและมีความสุขค่ะ อยากให้เขาเติบโตมาด้วยรอยยิ้ม ให้เขามีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับครอบครัวค่ะ

 

ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีใครที่อยากป่วยนอนติดเตียงมันเหมือนตกนรกทั้งเป็นนะคะ ทรมานมาก เพราะฉะนั้น อะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เรื่องที่เราไม่เคยคิด ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยเห็นคุณค่าที่เรามองข้ามตลอดก็คือ สุขภาพของเรานี่แหละค่ะ ยิ่งวัยรุ่นยิ่งไม่มีใครให้ความสำคัญ แต่เมื่อเริ่มแก่ตัวจะมามองคุณค่ามันอาจจะสายไปแล้วนะคะ ถ้าขอพรได้ก็อยากให้ลูกทั้งสองคนมีสุขภาพที่ดีเพื่อมีแรงกำลังต่อสู้ชีวิตไปข้างหน้า

 

 

Host: โบว์ภูมิใจอะไรในตัวลูกบ้างคะ

 

คุณโบว์: ทุกอย่างค่ะ ถึงแม้เขาจะเรียนไม่เก่งติดอันดับ Top 10 ของห้องหมายถึงออโต้นะคะ แต่เราก็ภูมิใจว่าอย่างน้อยเขาไม่เคยทำอะไรให้เราเสียใจ เขารู้จักหน้าที่ แต่แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่นั้นได้ดีเลิศสมบูรณ์แบบหรือได้รับการยกย่องมาก สิ่งนั้นไม่มีปัญหากับโบว์เลย แค่ภูมิใจในทุกอย่างที่เขาเป็นจริง ๆ แม้กระทั่งมะลิ ในวันนี้ที่เขายังไม่รู้เรื่อง แต่แค่เราเห็นเขา ไม่ว่าเขาทำอะไร เราก็รู้สึกภูมิใจ 

 

เขาเต้นบนเวที จะเต้นผิดเต้นถูกแต่เราก็ภูมิใจ (ปรบมือ) อย่างน้อยเขาก็มีความตั้งใจ ก็ภูมิใจทุกอย่างค่ะ ภูมิใจที่วันนี้เรากลับมาเห็นคุณค่าของตัวเองได้ก่อนที่เราจะแก่ไปมากกว่านี้ (หัวเราะ) ภูมิใจว่าอย่างน้อยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตที่ผ่านมาหรือคนจะมองว่าเราเป็นแม่หม้าย ผู้หญิงที่มีตำหนิ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เราสามารถมองข้ามคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นแล้วก็กลับมามองตัวเองเป็นหลักว่า เรามีคุณค่าในแบบของเรา และภูมิใจกับความรู้สึกที่เรามองเห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าเราเป็นแม่ที่สามารถทำหน้าที่แม่ในแบบฉบับของเราได้ ภูมิใจที่เป็นแม่คน สามารถดูแลเด็กทั้งสองคนให้เติบโตได้

 

 

 

 

ผู้ดำเนินรายการ:  คุณแม่โบว์ แวนดา สหวงษ์ / สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

บรรณาธิการ:  นันทิญา จิตตโสภาวดี

กองบรรณาธิการ: นมิดา แพ่งสภา, ปัณณธร ใสแสง, รุจา สุขพัฒน์, นีรชา คัมภิรานนท์, สุสมา สุขพัฒน์

ศิลปกรรม:  ฐานิสร์  ริ้วสุวรรณ, เอกชัย เธียรสรรชัย
นักออกแบบเสียง:  ธัญธนวรัท  ชนกชัด

ฝ่ายผลิต: ชลธิศ กรดี

ที่ปรึกษา:  วันชัย  บุญประชา, ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

สนับสนุนโดย  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

OTHER